มีเรื่องตลกร้ายในหมู่ฝรั่งผู้ชิงชังเผ่าพันธุ์สเกาเซอร์ซึ่งมักชอบพูดจาแดกดันเข้าใส่"สงสัยนกตัวนั้นมันคงไม่มีปีกเลยบินไม่ได้ พวกมันก็เลยไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกซะที"
หากใครเคยมาเมืองลิเวอร์พูลก็น่าจะรู้จัก"ตึกนก"ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สวยที่สุดในอังกฤษ ว่ากันว่าเป็นตึกที่มีเสน่ห์ไปหมดไม่ว่าจะมองจากมุมไหนหรือฤดูกาลใด จะแดดออก, ฝนตกหรือหิมะโปรยปราย
มองขึ้นไปบนยอดด้านบนก็จะมีนกสองตัวหันหน้าออกคนละฝั่ง ความเชื่อของคนโบราณก็คือนกสองตัวมีหน้าที่ปกปักรักษาดินแดนเอาไว้ทั้งฝั่งตัวเมืองและฝั่งที่อยู่อีกด้านของแม่น้ำ
"วันหนึ่งนกตัวนี้มันจะต้องบินขึ้นไปเหมือนเดิม"เป็นคำกล่าวของชายวัยกลางคนผู้ที่ตามเชียร์ทีมรักสีแดงมาตลอดนับแต่รู้จัก เคนนี่ ดัลกลิช
เรื่องบางเรื่องก็เข้าข่าย...เจ็บแต่ไม่จำ
เรื่องบางเรื่องก็มักลงเอยด้วยผลลัพธ์เดิมๆ
เรื่องบางเรื่องก็ได้แต่สอนเราว่าทุกคนล้มได้แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ลุกขึ้นมาได้
ยกแขนข้างซ้ายมาดูก็ราวหกโมงเศษ หน้าซัมเมอร์เป็นห้วงเวลาสุดวิเศษของพวกอิงลิชชนหลังต้องสู้ทนอากาศหนาวมาแทบทั้งปี ช่วงนี้พวกเขาจึงออกมารับไออุ่นจากดวงอาทิตย์เต็มที่แถมยังมีเวลาให้ใช้จ่ายชีวิตมากพิเศษเพราะกว่าจะมืดก็ปาไปใกล้สี่ทุ่ม
นาทีนี้ของแอนฟิลด์ต่างจากทุกๆวินาทีที่ผมเคยมาสัมผัส
ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า"เดอะ ค็อป"เดินขวักไขว่ตามถนน, ไม่มีแผงขายของที่ระลึกอยู่ด้านหน้า, ไม่ได้เห็นผ้าพันคอ, ธงหรือป้ายผ้าที่มักมีข้อความประทับส่งต่อถึงพลังงานและแน่นอนด้านในสนามก็ไม่ได้ยินเสียงตะเบ็งลำคอที่คุ้นเคย...
"Walk on walk on with hope in your heart and you'll never walk alone"
เพรสบ็อกซ์ที่ทางลิเวอร์พูลทำขึ้นมาใหม่อยู่ชั้นบนสุดของอัฒจันทร์เมนสแตนด์ เหตุผลก็เข้าใจได้ง่ายเพื่อขยายพื้นที่ไว้รองรับนักข่าวช่วงที่ยังต้องมีการเว้นระยะห่าง เป็นโชคดีของผมอีกครั้งที่ได้เป็น 1ใน300คนที่เข้ามาอยู่ในสนามกับแมตช์ที่ถือว่าเข้าใกล้จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกทีมใหม่
แม้ไม่มีแฟนบอลสักคนแต่ป้ายผ้าฝั่งค็อป สแตนด์ก็ยังคงอยากสื่อสารเรื่องราวของสโมสรที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ บางผืนเอารูปกุนซือในอดีตจนถึงปัจจุบันมาวางต่อกัน ส่วนบางผืนก็ยังคงให้ความสำคัญต่อดวงวิญญาณ 96 ชีวิตที่อยู่บนฟ้าและอีกบางผืนกับข้อความ"Now you gonna to believe us"
ใช่-แล้วคุณก็ต้องเชื่อพวกเรา
ตั้งแต่เสียงนกหวีดยาวจากมาร์ติน แอตกินสันดังก็เห็นได้เลยถึงความมุ่งมั่นเกินร้อยของขุนพลเจ้าถิ่นที่หมายทะลวงตาข่ายคริสตัล พาเลซให้เร็วที่สุด ถึงแต้มจะทิ้งห่างแมนฯซิตี้อยู่เยอะแต่ความกดดันก็วนอยู่รอบตัวพวกเขาโดยเฉพาะหลังทำได้แค่เสมอไม่มีสกอรในเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์
ทั้งเวอร์กิล ฟาน ไดค์กับโจ โกเมซลอยขึ้นมาสูงเลยเส้นครึ่งสนาม บอลถ่ายวนไปโดยรอบจากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้ายสลับกับการวางบอลยาว
มันเลยไม่ต่างกำลังดูการซักซ้อมระหว่างเกมรุกและเกมรับ
นาที15 ตอนที่วิลฟรีด ซาฮาส่งสัญญาณว่าบาดเจ็บ การขยับเคลื่อนไหวข้างสนามว่าจำต้องเปลี่ยนตัวก็เหมือนการเอาตะปูตอกย้ำๆที่ฝาโลงของอาคันตุกะจากเซาธ์ลอนดอน พวกเขาที่แทบจะไม่มีทางสู้อยู่แล้วยังต้องมาเสียดาวเตะหมายเลขหนึ่งออกไปอีก
สกอร์4-0 ก็สะท้อนอะไรได้หลายอย่างแต่ไม่ใช่ทุกอย่าง
พวกเขาครองบอล73% สร้างโอกาสยิง21 ครั้ง ได้เตะมุม 6 ครั้ง ขณะที่พาเลซตลอดเกมไม่ได้ลุ้นเลยดีกว่าต่อให้สถิติอ้างว่าได้ง้าง3 ครั้งก็ตาม
อาจเป็นเกมที่อลิสซงทำงานน้อยที่สุดตั้งแต่เลือดยึดอาชีพเฝ้าเสามาก็ได้
เจอร์เก้น คล็อปป์เองยังกล่าวด้วยรอยยิ้มหลังเกมเลย"มันเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมาก คุณคงไม่มีความสุขมากกว่านี้อีกแล้วเมื่อมองไปที่ผลงานของนักเตะทุกคน วิธีการเล่นของพวกเรา พาสชั่นที่เราใส่ลงไป มันเป็นโมเมนต์ที่ผมไม่อยากเชื่อเลยโดยเฉพาะพอนำห่าง4-0แล้วก็ยังบุกต่อ อยากได้เพิ่ม"
จุดนี้เองที่เป็นข้อแตกต่างของทีมที่มีคุณสมบัติก้าวไปประสบความสำเร็จกับทีมที่เหมือนจะดีแต่สุดท้ายก็ดีไม่พอ ศัพท์ฝรั่งบัญญัติไว้ด้วยคำว่า"mentality"
จากการบอกเล่าของคนในสโมสรก็ยืนยันว่านับแต่บิลล์ แชงค์ลี่ยก็เป็นคล็อปป์นี่แหละที่เข้ามาปลุกความเชื่อมั่นให้ทุกคนว่าลิเวอร์พูลจะสามารถรีเทิร์นสู่ยุคเรืองรองได้อีกครั้ง
โค้ชชาวดอยทช์เคยนิยามจุดแข็งที่สุดของทีมชุดนี้เอาไว้สั้นๆ"mentality monsters"โดยอธิบายไว้ว่า"ความสำคัญของจิตใจข้างในต่อการเล่นฟุตบอลงั้นหรือ? มันคือทั้งหมดก็ว่าได้เพราะต่อให้คุณมีเทคนิคดีแค่ไหน มีความสามารถยอดเยี่ยมเพียงไรแต่คุณก็จะงัดมันออกมาใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหรอกถ้าปราศจากความเชื่อที่อยู่ข้างในตัวคุณเอง"
"ฟุตบอลก็ไม่ได้ต่างจากชีวิตปกติของมนุษย์ ก้าวแรกที่จะไปประสบความสำเร็จก็ต้องมีความเชื่อมั่นว่าคุณทำได้ซะก่อน มีคำถามก็ต้องมีคำตอบ คุณจะอยากตั้งคำถามให้ตัวเองสักกี่ข้อ อันไหนถูกหรืออันไหนผิดแต่ท้ายที่สุดหากคุณมีความกลัวนำพามาก่อน มันก็ยากที่จะทำสิ่งนั้นได้"
ใช่ครับ นี่คือเมือง นี่คือผู้คนและนี่คือกลุ่มกองเชียร์ที่ผูกติดไว้ที่ความเชื่อเสมอมา
ในเกมที่พับสนามบุกฝ่ายเดียว ก็ยังรับรู้ได้ถึงสปิริตอันกลมเกลียวในทีม ทุกจังหวะที่ขุนพลเจ้าถิ่นเซตเกมขึ้นมาแล้วได้จบสกอร์ก็มีเสียงปรบมือดังจากซุ้มสำรอง ได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่องแต่นั่นหมายถึงว่าสิ่งที่ซักซ้อมกันมาไม่สูญเปล่า
ทั้งสี่ประตูที่พวกเขาทำได้ก็ยังเป็นสี่ประตูที่ถือว่าสวยงามทั้งหมด อยู่ที่ว่าใครจะชอบสไตล์ไหน ตั้งแต่ฟรีคิกของเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ลูกตักจากกลางสนามของฟาบินโญ่ไปให้โม ซาล่าห์หลุดเข้าไป, มองหนึ่งที แตะหนึ่งครั้งก่อนที่ฟาบินโญ่ตะบันแหวกอากาศเสียบตาข่ายมาจนถึงลูกสุดท้ายที่ส่วนตัวชอบที่สุดเนื่องจากมันเป็นสามประสานแนวรุกต่อบอลกันมา เริ่มจากโรเบร์โต้ ฟิร์มิโน่มาให้ซาล่าห์ก่อนที่ผ่านบอลด้วยขวาทะลุถึงซาดิโอ มาเน่แปเสียบเสาไม่เหลือ
รอย ฮอดจ์สันได้แต่เกาศีรษะตอนให้สัมภาษณ์ กุนซือรุ่นปู่เองอาจคิดได้ว่าทำไมตอนที่เขาได้โอกาสมานั่งเก้าอี้สีแดงถึงทำไม่ได้เหมือนคล็อปป์เวลานี้ ต่างเวลา ต่างปัจจัยและแน่นอนความสามารถที่แตกต่างกัน
บนเพรสบ็อกซ์ที่จัดทำเป็นสองแถวยาว ด้านหลังของผมเป็นนักข่าวท้องถิ่นจากลิเวอร์พูล เอคโค่ซึ่งเป็นเดอะ ค็อปตัวยง ตอนที่ผมเก็บอุปกรณ์เตรียมกลับ เขาก็ลดผ้าที่ปิดปากลงก่อนฉีกยิ้มให้แล้วเอ่ยคำทักทายมา"คุณสบายดีนะ ไม่ได้เจอกันนานเลย"
ผมก็ตอบกลับไปตามมารยาทแต่ก็อดไม่ได้ที่ต้องเพิ่มบทสนทนา"คุณคงแฮปปี้มากล่ะสิ??"
นักข่าวผู้ที่เป็นทั้งแฟนหงส์และสเกาเซอร์ยิ่งเปิดรอยยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก เรียกว่าดูมีความสุขที่สุดเท่าที่เคยเจอจากเขามาเลย"แน่นอน มันเป็นการรอคอยที่ยาวนานแต่ในที่สุดมันก็กำลังจะจบลง"
ก็วันนี้และค่ำคืนนี้ที่เชื่อแล้วว่านกตัวหนึ่งสามารถสยายปีกบินเหนือน่านฟ้าอีกครั้ง สามสิบปีอาจดูยาวนานแต่ยิ่งได้สิ่งใดมายาก ยิ่งเจ็บปวดมาเท่าไร
นั่นแหละคือราคาแห่งความคุ้มค่าของชีวิต
"ไก่ป่า"
"พวกเขาทั้งหมด" - Google News
June 25, 2020 at 06:17PM
https://ift.tt/3i42QRG
ลิเวอร์พูลจากเพรสบ็อกซ์ - สยามกีฬา
"พวกเขาทั้งหมด" - Google News
https://ift.tt/2VFpqXR
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/3dnz7A2
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ลิเวอร์พูลจากเพรสบ็อกซ์ - สยามกีฬา"
Post a Comment